วันศุกร์ที่ 11 มกราคม พ.ศ. 2556

สี่เก่งไม่ตกงาน


สี่เก่งไม่ตกงาน
โลกเปลี่ยนไปแล้วเรายังติดอยู่กับแนวงานเดิมๆความคิดเดิมๆที่คนเมื่อ 10 ปีที่แล้วทำตามกันมาอยู่อีกหรือ?

คำคมคารมปราชญ์


คำคมคารมปราชญ์ จากหนังสือ อัจฉริยะรอบโลก 

สิ่งที่เราเป็นคือผลของความคิดเราเอง ทุกอย่างอยู่ที่ใจ เราก็เป็นไปตามที่ใจเราคิด
(พระพุทธเจ้า)

ผู้ใดอยากจะบินได้ ต้องเริ่มเรียนรู้ที่จะยืน เดิน วิ่ง ปีน และเต้นรำก่อน เพราะไม่มีใครสามารถบินได้ทันที
(ฟรีดริชวิลเฮล์ นิทเช่)

ผู้อ่อนแอไม่เคยรู้จักให้อภัย การให้อภัยเป็นคุณลักษณะของผู้เข้มแข็ง

(มหาตมะ คานธี)

ไม่เริ่มต้นในวันนี้ จะไม่มีทางสำเร็จในวันพรุ่ง

(โยฮันน์ วูลฟ์กัง ฟอน เกอเต้)

เด็กทุกคนล้วนเป็นศิลปิน ปัญหาคือทำอย่างไรให้ความเป็นศิลปินนั้นยังคงอยู่เมื่อเขาเติบใหญ่
(พาโบล ปิกัสโซ) 

การเป็นอัจฉริยะประกอบด้วยแรงบันดาลใจหนึ่งเปอร์เซ็นต์ และหยาดเหงื่ออีกเก้าสิบเก้าเปอร์เซ็นต์

(โทมัส อัลวา เอดิสัน)

อัจฉริยบุคคล เป็นแรงบันดาลใจให้พวกเรามีความเชื่อมั่นอย่างไร้ขอบเขตในพลังของตัวเอง
(ราล์ฟ วัลโด เอเมอร์สัน)

ถ้าคุณไม่สามารถอธิบายสิ่งใดให้ผู้อื่นเข้าใจได้โดยง่าย นั่นหมายความว่า ตัวคุณเองยังไม่เข้าใจมันดีพอ
(อัลเบิร์ต ไอน์สไตน์)

เราไม่สามารถสอนอะไรใครได้เลย เราเพียงช่วยให้เขาค้นพบสิ่งที่อยู่ในตัวเขาเท่านั้น
(กาลิเลโอ กาลิเลอี)

ถ้าข้าพเจ้ามีเวลาแปดชั่วโมงในการตัดต้นไม้ ข้าพเจ้าจะใช้เวลาหกชั่วโมงในการลับขวานให้คม
(อับราฮัม ลินคอล์น)

แม้การใช้เหตุผลจะนำไปสู่การสรุปได้ แต่ก็มิได้ทำให้บทสรุปนั้นเป็นจริงเสมอไป หากปราศจากจิตใจที่ค้นพบด้วยประสบการณ์
(โรเจอร์ เบคอน)

สิ่งใดที่เราจำต้องเรียนรู้ก่อนที่จะทำเป็น เราเรียนรู้ได้ด้วยการลงมือทำ
(อริสโตเติล)

มนุษย์เรามักกล้าในอันที่จะอดทนต่อเรื่องจุกจิกน้อยกว่าอดทนต่อคราวเคราะห์ที่หนักหนาจริง ๆ
(อีสป)

นวัตกรรม แบ่งแยกผู้นำออกจากผู้ตาม
(สตีฟ จอยส์)

ผู้ใดฉลาดล้ำหรือจินตนาการเลิศ แม้เพียบพร้อมทั้งสองประการเพียงใด ก็หาได้เป็นอัจฉริยะไม่ จิตวิญญาณของอัจฉริยะนั้นคือ ความรัก ความรัก และความรักต่างหาก
(โวล์ฟกัง อมาเดอุส โมสาร์ท)


การทำงานช่วยปกป้องเราออกจากปีศาจร้ายทั้งสาม ความน่าเบื่อ ความชั่วร้ายและความขัดสน
(วอลแตร์)

เราก้าวเดินไปข้างหน้าเปิดประตูบานใหม่ ๆ และทำสิ่งใหม่ เพราะคนเป็นสิ่งมีชีวิตที่อยากรู้อยากเห็น และเจ้าความอยากรู้อยากเห็นนี่เองที่นำพาเราไปสู่หนทางใหม่ ๆ
(วอลท์ ดิสนีย์)

ไม่มีอะไรในชีวิตที่ต้องกลัว ขอแต่เราเข้าใจ

(มารี คูรี)

ผมมักจะทำในสิ่งที่ผมทำไม่ได้ และนั่นแหละทำให้ผมทำสิ่งนั้นได้

(พาโบล ปีกัสโซ)

ผมไม่อาจกล่าวได้ว่าพลังอันนี้คืออะไรแน่ รู้แค่ว่ามันมีอยู่จริง และใช้ได้ก็ต่อเมื่อบุคคลมีสภาพจิตใจที่ตระหนักรู้ถึงสิ่งที่ตนต้องการ และมีความมุ่งมั่นหาสิ่งนั้นอย่างไม่ลดละ
(อเล็กซานเดอร์ เกรแฮมเบลล์)

ถ้าคุณมีแอปเปิ้ลหนึ่งผล และผมมีแอปเปิ้ลหนึ่งผล เมื่อเราแลกกันเราก็ต่างจะมีแอปเปิ้ลคนละหนึ่งผลแต่ถ้าคุณมีหนึ่งไอเดียและผมมีหนึ่งไอเดียเมื่อเราแลกกันเราก็ต่างจะมีเพิ่มเป็นคนละสองไอเดีย
(จอร์จ เบอร์นาร์ด ชอว์)

ความหวังเป็นเพียงผืนผ้าคลุมที่ธรรมชาติใช้อำพรางความจริงอันโหดร้าย
(อัลเฟรด เบิร์นฮาร์ดโนเบล)

ความลับที่ทำให้ผมประสบความสำเร็จได้คือ พละกำลังของผมอยู่ที่ความมุ่งมั่นเท่านั้น
(หลุยส์ ปาสเตอร์)

ทัศนคติ คือ สิ่งเล็กน้อยที่สร้างความแตกต่างอันใหญ่ยิ่ง
(เชอร์วินสตัน เชอร์ชิลด์)

เมื่อจะแต่งอะไรขึ้นมาสักอย่าง สิ่งสุดท้ายที่ค้นพบคือ จะเอาอะไรมาขึ้นต้น
(เบลส ปาสกาล)

จงกำราบความกระหายให้ได้สหายเอ๋ย เพราะนั่นคือการเอาชัยเหนือธรรมชาติของมนุษย์
(ชารลส์ ดิกเกนส์)

ผู้ที่มีพรสวรรค์อันเหลือล้นนั้นมีอยู่มากมาย แต่ผู้ที่มีพรสวรรค์อันสมดุล พอดีกลับไม่เคยมี
(ราล์ฟ อัลโต เอเมอร์สัน)


ไม่มีอะไรจะเกินทนไปกว่า เมื่อเราต้องยอมรับความผิดพลาดของตนกับตัวเอง
(ลุควิก ฟาน เทโทเฟน)

จอมทัพผู้ยิ่งใหญ่ที่สุด คือ ผู้ที่ทำผิดพลาดน้อยที่สุด
(นโปเลียน โบนาปาร์ด



โธมัส แอลวา เอดิสัน (Thomas Alva Edison) 

“To invent, you need a good imagination and a pile of junk.” 

ในการประดิษฐ์คิดค้น  คุณจะต้องมีจินตนาการที่ดีกับกองขยะสักกองหนึ่ง 

“All Bibles are man-made”
คัมภีร์ไบเบิลทั้งหมดเป็นสิ่งที่มนุษย์สร้างขึ้น


“Genius is one percent inspiration and ninety-nine percent perspiration.”

อัจฉริยะ คือ  แรงบันดาลใจ 1 เปอร์เซ็นต์และหยาดเหงื่ออีก 99 เปอร์เซ็นต์


“I haven't failed, I've found 10,000 ways that don't work”

ผมไม่เคยล้มเหลว  ผมแค่พบ 10,000 วิธี ที่ใช้การไม่ได้เท่านั้น 


“Good fortune is what happens when opportunity meets with planning.”

โชคดีเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อโอกาสมาพบกับการวางแผน 


“The three great essentials to achieve anything worth while are, first, hard work; second, stick-to-itiveness; third, common sense.”

สามสิ่งที่สำคัญยิ่งในการทำสิ่งที่มีค่า ได้แก่ หนึ่ง ความขยันขันแข็ง  สอง การยึดมั่นในความคิดริเริ่ม  และสาม สามัญสำนึก


“I never failed once. It just happened to be a 2000-step process.”

ผมไม่เคยล้มเหลวสักครั้ง  มันก็แค่หนึ่งในกระบวนการ 2,000 ขั้นตอน


“I never did a day's work in my life. It was all fun.”

ผมไม่เคยทำงานแม้สักวันเดียวในชีวิต ทั้งหมดนั้น คือ ความสนุก


“Nearly every man who develops an idea works it up to the point where it looks impossible, and then he gets discouraged. That's not the place to become discouraged.”

เกือบทุกคนพัฒนาไอเดียไปสู่จุดที่น่าจะเป็นไปได้  แต่แล้วพวกเขาก็หมดกำลังใจ  ทั้ง ๆ ที่จุดนั้น  ไม่ใช่ที่ซึ่งจะกลายเป็นความสิ้นหวังแท้ ๆ

คนที่ประสบความสำเร็จเริ่มต้นจากความกล้าก่อนเป็นอันดับแรก




คนที่ประสบความสำเร็จไม่ว่าจะอยู่ในแวดวงใด เขามักเริ่มต้นจากความกล้าก่อนเป็นอันดับแรก ซึ่งความกล้าในที่นี้มีหลายประการที่คนประสบความสำเร็จจะต้องกล้าเริ่มต้น คือ
 
Idea กล้าคิด คนที่ประสบความสำเร็จส่วนใหญ่จะเป็นคนที่กล้าคิด และคนที่ประสบความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่ มักจะคิดอะไรไม่เหมือนคนอื่น  เขาเหล่านั้นจะกล้าคิดต่าง คิดแปลก จากคนทั่วไป เช่น
- สมัยอดีต รถยนต์สมัยแรกๆ มักใช้แกนเหล็กหมุนเวลาที่จะสตาร์ทเครื่อง ไม่เหมือนกันปัจจุบันที่สตาร์ทรถยนต์ง่ายๆ ด้วยการใช้มือหมุนกุญแจบิดสตาร์ท  เช้าวันหนึ่ง นายชาร์ลส  ได้ยืนสตาร์ทรถยนต์ด้วยแกนเหล็กที่หน้าบ้าน แต่ปรากฏว่ากระบอกสูบไม่หมุน นายชาร์ลส จึงออกแรงสะบัดแกนเหล็กเพื่อให้กระบอกสูบหมุนปรากฏว่า แกนเหล็กนั้นไปดีดใส่แขนของเขาจนหัก เขาลงไปนอนข้างล่างกับพื้นด้วยความเจ็บปวด หลังจากนั้น เขาก็กล้าที่จากคิดแตกต่างจากคนอื่นๆ เขาคิดว่าจะทำอย่างไรให้การสตาร์ทรถยนต์ง่ายขึ้น เพราะหากเป็นเช่นนี้ อาจเกิดอุบัติเหตุเหมือนกับเขากับคนอื่นๆได้  จึงเป็นที่มาของการสตาร์ทรถยนต์ ด้วยการใช้กุญแจบิดสตาร์ท นี่ก็เพราะการกล้าคิดของ นายชาร์ลส จึงทำให้พวกเราได้สตาร์ทรถยนต์ได้ง่ายขึ้น อีกทั้งช่วยลดอุบัติเหตุที่เกิดจากการสตาร์ทรถยนต์อีกด้วย

Imagine กล้าจินตนาการ อัลเบิร์ต ไอน์สไตน์ กล่าวไว้ว่า จินตนาการสำคัญกว่าความรู้ คนปกติธรรมดาในยุคปัจจุบันได้เรียนหนังสือกันเกือบทุกคน แต่ก็ไม่ประสบความสำเร็จในชีวิตไม่ว่าการทำงาน หน้าที่ สาเหตุหนึ่งเกิดจาก การขาดจินตนาการ คนปกติธรรมดา มักจะทำอะไรเหมือนคนอื่นๆ ไม่กล้าที่จะลองจินตนาการ ไม่กล้าที่จะคิดสร้างสรรค์สิ่งแปลกๆใหม่ๆขึ้นมาในชีวิต

Action กล้าลงมือทำ เมื่อมีความคิดแล้ว มีจินตนาการแล้ว แต่ขาดซึ่งการลงมือทำ สิ่งต่างๆที่คิด ที่จินตนาการก็ไม่สามารถเป็นรูปเป็นร่างขึ้นมาได้ ดังนั้นจงกล้าที่จะลงมือทำ ลงมือปฏิบัติ สิ่งต่างๆจึงจะเกิดขึ้น เหมือนดังที่เราคิดและเราจินตนาการ

Develop กล้าพัฒนา เมื่อลงมือทำไปแล้ว แน่นอนว่าจะต้องเกิดการผิดพลาด บกพร่องในสิ่งที่เราทำ บุคคลที่ประสบความสำเร็จมักกล้าที่จะพัฒนา กล้าเปลี่ยนแปลง แผนต่างๆที่คิดไว้ ที่จินตนาการไว้ เพื่อให้การทำงานนั้นเกิดความสมบูรณ์มากยิ่งขึ้น

Control กล้าที่จะควบคุม คนที่ประสบความสำเร็จส่วนมากแล้ว มักจะเป็นคนที่ควบคุมอารมณ์ ควบคุมตนเอง อยู่เสมอ เขาจะเป็นคนที่มีวินัยในการทำสิ่งต่างๆ โดยเฉพาะวินัยในการทำงาน เช่น นักเขียนที่ประสบความสำเร็จเขาจะจัดสรรเวลาในการทำงานเขียน แล้วเขาก็จะลงมือเขียนตามแผนการที่เขาวางไว้ โดยที่ไม่ผัดวันประกันพรุ่ง ฉะนั้น เขาจึงมีผลงานการเขียนออกมาสู่สายตาผู้อ่านอย่างสม่ำเสมอ

Change กล้าเปลี่ยนแปลง  คนเราโดยมากมักไม่ชอบการเปลี่ยนแปลง แต่คนเราจะเจริญก้าวหน้าก็ด้วยเพราะการเปลี่ยนแปลง หากท่านเป็นผู้หนึ่งที่ต้องการประสบความสำเร็จท่านต้องกล้าที่จะเปลี่ยนแปลงตนเอง แล้วท่านจะประสบความสำเร็จ  ไม่ว่าจะเป็นการเปลี่ยนแปลงทางความคิด เปลี่ยนแปลงวิธีการทำงาน

หากว่าท่านมีความกล้าตามข้อความข้างต้น กระผมเชื่อว่า ท่านจะประสบความสำเร็จอย่างแน่นอน จงเดินทางเข้าไปหาความสำเร็จ แทนการที่จะนั่งรอความสำเร็จมาหาท่าน หากว่าท่านต้องการไปเที่ยวภูเขาที่สวยงามสักลูก ขอให้ท่านจงเริ่มต้นออกเดินทาง  แทนที่ท่านจะนั่งรอ นอนรอ ให้ภูเขาลูกนั้น เคลื่อนตัวมาหาท่าน จงกล้าที่จะเริ่มต้นแล้วท่านจะประสบความสำเร็จ 
การทำงานเป็น " ทีม - Team "
 การทำงานในสมัยปัจจุบันหรือการบริหารงานแนวใหม่นี้จะทำแบบ'ข้ามาคนเดียว"หรือ "วันแมนโชว์" หรือ"ศิลปินเดี่ยว" หรือ "อัศวินม้าขาว" หรือ อื่น ๆ ดูจะเป็นไปได้ยากการทำงานเป็น " ทีม - Team "ทีม (Team) หมายถึง บุคคลที่ทำงานร่วมกันอย่างประสานงานภายในกลุ่มกล่าวคือ เป็นการรวมตัวของกลุ่มคนที่ต้องพึ่งพาอาศัยกันและกัน ในการทำงานเพื่อให้เกิดผลสำเร็จทีมงาน (Team Work) หมายถึง กลุ่มคนที่มีความสัมพันธ์กันค่อนข้างจะใกล้ชิดและ
คงความสัมพันธ์อยู่ค่อนข้างจะถาวรซึ่งประกอบด้วยหัวหน้างานและเพื่อนร่วมงานโดยร่วมกันทำงานให้บรรลุวัตถุประสงค์และเป้าหมายของทีมงานการทำงานเป็นทีมเป็นความร่วมมือร่วมใจของบุคคล เพื่อที่จะบรรลุเป้าหมายร่วมกันโดยต้องมีองค์ประกอบสำคัญ 3 ประการ (3P) ได้แก่มีวัตถุประสงค์ (Purpose) ต้องชัดเจนมีการจัดลำดับความสำคัญ (Priority) ในการทำงานมีผลการทำงาน (Performance)ความแตกต่างระหว่างการทำงานแบบทีมและกลุ่ม (Teams vs Groups )การทำงานแบบกลุ่ม (Work group) คือ การรวมกลุ่มที่มีกิจกรรมร่วมเพื่อใช้ข้อมูลร่วมกันและช่วยในการตัดสิ้นใจให้แก่สมาชิกในกลุ่มที่จะทำงานภายในขอบข่ายที่รับผิดชอบของแต่ละคนนั้น ในการทำงานของกลุ่มไม่จำเป็นที่จะต้องส่งเสริมซึ่งกันและกัน ดังนั้นจึงไม่มีการเชื่อมโยงทรัพยากรและใช้ร่วมกันอย่างมีประสิทธิผลในทางบวก

 นั่นคือเราใส่การทำงานของแต่ละคนเข้าไปผลงานที่ออกรวมกันแล้วจะได้เท่ากับที่ใส่เข้าไปหรืออาจจะน้อยกว่าก็ได้การทำงานแบบทีม ( Work teams) เป็นการทำงานร่วมกันและส่งเสริมกันไปในทางบวกผลงานรวมของทีมที่ได้ออกมาแล้วจะมากกว่าผลงานรวมของแต่ละคนมารวมกัน
ชนิดของทีมงานการแบ่งทีมในองค์กรสามารถที่จะแบ่งประเภท ตามวัตถุประสงค์ได้ 4 รูปแบบคือ

1. ทีมแก้ปัญหา (Problem - Solving Teams) ประกอบด้วยกลุ่มของพนักงาน และผู้บริหารซึ่งเข้ามารวมกลุ่มด้วยความสมัครใจ และประชุมร่วมกันอย่างสม่ำเสมอเพื่ออภิปรายหาวิธีการสำหรับการแก้ปัญหา โดยทั่วไปทีมแก้ปัญหาทำหน้าที่เพียงให้คำแนะนำเท่านั้น แต่จะไม่มีอำนาจที่จะทำให้เกิดการกระทำ ตามคำแนะนำตัวอย่างของทีมแก้ปัญหาที่นิยมทำกัน คือ ทีม QC (Quality Circles)
2. ทีมบริหารตนเอง (Self - Managed Teams) หมายถึง ทีมที่สมาชิกทุกคนล้วนรับผิดชอบต่อลักษณะทั้งหมดของการปฏิบัติงานอย่างแท้จริง โดยเป็นอิสระจากฝ่ายบริหารซึ่งสมาชิกจะปฏิบัติงานโดยทั่วไป มีการแบ่งหน้าที่ความรับผิดชอบสำหรับงานทีมบริหารตนเองสามารถที่จะเลือกสมาชิกผู้ร่วมทีม และสามารถให้สมาชิกมีการตรวจสอบซึ่งกันและกัน
3. ทีมที่ทำงานข้ามหน้าที่กัน (Cross - Function Teams) เป็นการประสมประสานข้ามหน้าที่งาน ความสามารถในการดึงทรัพยากรบุคคลผนวกเข้าด้วยกันจากหน้าที่ทางธุรกิจที่แตกต่างกัน เพื่อสร้างสมรรถภาพในด้านความแตกต่าง โดยเป็นการใช้กำลังแรงงาน ตั้งเป็นทีมข้ามหน้าที่ชั่วคราวซึ่งมีลักษณะคล้ายกับคณะกรรมการ(Committees) เข้ามาเพื่อแลกเปลี่ยนข้อมูลกัน, พัฒนาความคิดใหม่ๆ ร่วมมือกันแก้ปัญหาและทำโครงการที่ซับซ้อน ทีมข้ามหน้าที่ ต้องการเวลามากเพื่อสมาชิกจะต้องเรียนรู้งานที่แตกต่าง ซับซ้อน และต้องใช้เวลาในการสร้างความไว้ใจ และสร้างการทำงานเป็นทีม
เนื่องจาก แต่ละคนมาจากภูมิหลังที่แตกต่างกัน

4. ทีมเสมือนจริง (Virtual Teams) ลักษณะการทำงานจะเป็นทีม แต่สภาพการทำงานจะแยกกันอยู่ ดังนั้นจึงต้องการระบบในการติดต่อสื่อสารระหว่างกันที่มีประสิทธิภาพซึ่งอาศัยความก้าวหน้าทางเทคโนโลยี ทีมจะมุ่งเน้นความสำเร็จของงานเพื่อให้บรรลุเป้าหมายของงานร่วมกัน แต่จะมีการแลกเปลี่ยนความสัมพันธ์ด้านความรู้สึกทางสังคมในระดับต่ำ  ข้อควรระวัง : การทำงานเป็นทีมไม่ได้เป็นคำตอบในการแก้ไขปัญหาเสมอไป เนื่องจากการทำงานเป็นทีมต้องใช้เวลาและทรัพยากรมากกว่าการทำงานคนเดียวยกตัวอย่างเช่น
 • ต้องเพิ่มการติดต่อสื่อสารมากขึ้น
 • ต้องบริหารความขัดแย้งระหว่างกัน
 • ต้องมีการจัดการประชุม
 • ต้องมีค่าใช้จ่ายเพิ่ม

อย่างไรก็ตามในบางกรณีผลประโยชน์ที่ได้จากการทำงานเป็นทีมก็จะได้รับผลตอบแทนที่คุ้มค่า ดังนั้น ผู้บริหารต้องทำการประเมินว่างานใดควรทำคนเดียว และงานประเภทใดที่ต้องใช้ความร่วมมือของทีมคำถาม 3 ข้อ เพื่อดูว่าควรใช้วิธีการทำงานเป็นทีมในการทำงานหรือไม่
 1. งานนั้นสามารถทำได้ดีขึ้นหรือไม่ หากใช้คนมากกว่าหนึ่งคน
 2. งานนั้นมีวัตถุประสงค์เพื่อทุกคนในกลุ่ม หรือ เพื่อคนใดคนหนึ่ง
 3. การเลือกใช้ประเภทของทีมให้เหมาะสมกับสถานการณ์

การทำงานเป็นทีมที่มีประสิทธิภาพ
1. วัตถุประสงค์ที่ชัดเจนและเป้าหมายที่เห็นพ้องต้องกัน เพื่อใช้เป็นแนวทางการปฏิบัติงานที่ต้องการทำให้องค์การบรรลุผลสำเร็จที่คาดหวังไว้ในการดำเนินงานให้เป็นไปตามภารกิจขององค์การ
 - การกำหนดวัตถุประสงค์ที่ดี โดยให้ผู้นำและสมาชิกภายในทีม มีส่วนร่วมในการกำหนดหน้าที่ความรับผิดชอบและวัตถุประสงค์ร่วมกัน ควรกำหนดจุดมุ่งหมายไว้ให้ชัดเจนที่ผลงานมากกว่าการกระทำ
 - ประโยชน์ของการกำหนดวัตถุประสงค์ เพื่อใช้เป็นแนวทางในการปฏิบัติงาน ใช้เป็นเครื่องมือในการรวมพลังในการทำงาน และใช้เป็นเครื่องมือวัดความสำเร็จหรือความล้มเหลวในงาน
 - คุณลักษณะของวัตถุประสงค์ที่ดี คือ เขียนเป็นลายลักษณ์อักษร เข้าใจได้ง่ายสามารถปฏิบัติได้จริง ไม่ขัดต่อข้อบังคับและนโยบายอื่นๆในหน่วยงาน

2. ความเปิดเผยต่อกันและการเผชิญหน้าเพื่อแก้ปัญหา เป็นสิ่งสำคัญต่อการทำงานเป็นทีมที่มีประสิทธิภาพ สมาชิกในทีมจะต้องการแสดงความคิดเห็นอย่างเปิดเผยตรงไปตรงมา แก้ปัญหาอย่างเต็มใจและจริงใจ การแสดงความเปิดเผยของสมาชิกในทีมจะต้องปลอดภัย พูดคุยถึงปัญหาอย่างสบายใจ เพื่อให้สามารถอยู่ร่วมกันและทำงานร่วมกันเป็นอย่างดี โดยมีการเรียนรู้เกี่ยวกับบุคคลอื่นในด้านความต้องการ ความคาดหวังความชอบหรือไม่ชอบ ความรู้ความสามารถ ความสนใจ ความถนัด จุดเด่นจุดด้อยและอารมณ์ รวมทั้งความรู้สึก ความสนใจนิสัยใจคอ

3. การสนับสนุนและความไว้วางใจต่อกัน สมาชิกในทีมจะต้องไว้วางใจซึ่งกันและกันโดยทีละคนมีเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็นอย่างตรงไปตรงมา โดยไม่ต้องกลัวว่าได้รับผลร้ายที่จะมีต่อเนื่องมาภายหลัง สามารถทำให้เกิดการเปิดเผยต่อกัน และกล้าที่จะเผชิญหน้าเพื่อแก้ปัญหาต่างๆได้เป็นอย่างดี

4. ความร่วมมือและการให้ความขัดแย้งในทางสร้างสรรค์ ผู้นำกลุ่มหรือทีมจะต้องทำงานอย่างหนักในอันที่จะทำให้เกิดความร่วมมือดังนี้
 4.1 การสร้างความร่วมมือกับบุคคลอื่น ในการสร้างความร่วมมือเพื่ความเข้าใจซึ่งกันและกันและมีบุคคลอยู่สองฝ่ายคือ ผู้ขอความร่วมมือ และผู้ให้ความร่วมมือความร่วมมือจะเกิดขึ้นได้เมื่อฝ่ายผู้ให้เต็มใจและยินดีจะให้ความร่วมมือเหตุผลที่ทำให้ขาดความร่วมมือไม่ช่วยเหลือกัน คือ การขัดผลประโยชน์ ไม่อยากให้คนอื่นได้ดีกว่า สัมพันธภาพไม่ดี วัตถุประสงค์ของทั้งสองฝ่ายไม่ตรงกัน ไม่เห็นด้วยกับวิธีทำงานขาดความพร้อมที่จะร่วมมือ หรืองานที่ขอความร่วมมือนั้น เลี่ยงภัยมากเกินไป หรือเพราะความไม่รับผิดชอบต่อผลงานส่วนรวม
 4.2 การขัดแย้ง หมายถึง ความไม่ลงรอยกันตามความคิด หรือ การกระทำที่เกิดขึ้นระหว่างสองคนขึ้นไป หรือระหว่างกลุ่ม โดยมีลักษณะที่ไม่สอดคล้อง ขัดแย้ง ขัดขวาง ไม่ถูกกันจึงทำให้ความคิดหรือการทำกิจกรรมร่วมกันนั้น เสียหาย หรือดำเนินไปได้ยากไม่ราบรื่นทำให้การทำงานเป็นทีมลดลง นับเป็นปัญหา อุปสรรคที่สำคัญยิ่ง
 - สาเหตุของความขัดแย้ง ผลประโยชน์ขัดกัน
 - ความคิดไม่ตรงกัน หรือ องค์กรขัดแย้งกัน
 - ความรู้ความสามารถต่างกัน ทำให้มีลักษณะการทำงานต่างกัน
 - การเรียนรู้ต่างกัน ประสบการณ์ที่มีมาไม่เหมือนกัน
 - เป้าหมายต่างกัน
 4.3 วิธีแก้ความขัดแย้ง การแก้ความขัดแย้งเป็นเรื่องของทักษะเฉพาะบุคคล การแก้ปัญหาความขัดแย้งในการทำงานเป็นทีม ควรใช้วิธีการแก้ปัญหาร่วมกัน ไม่พูดในลักษณะที่แปลความหรือมุ่งตัดสินความ ไม่พูดในเชิงวิเคราะห์ ไม่พูดในลักษณะที่แสดงตนเหนือกว่าผู้อื่น หรือไม่พูดในลักษณะที่ทำให้ผู้อื่นเจ็บปวด เสียหน้า อับอาย เจ็บใจ หรือการพยายามพูดหาประเด็นของความขัดแย้ง ไม่กล่าวโจมตีว่าใครผิดใครถูก

5. กระบวนการการทำงาน และการตัดสินใจที่ถูกต้องและเหมาะสม งานที่มีประสิทธิภาพนั้นทุกคนควรจะคิดถึงงานหรือคิดถึงผลงานเป็นอันดับแรก ต่อมาควรวางแผนว่าทำอย่างไรงานจึงจะออกมาดีได้ดังที่เราต้องการ อย่างไรก็ตามก่อนที่จะตัดสินใจนั้นจุดมุ่งหมายควรจะมีความชัดเจนและสมาชิกทุกคน ควรมีความเข้าใจในจุดมุ่งหมายของการทำงานเป็นอย่างดีจุดมุ่งหมายที่ชัดเจนถือเป็นหัวใจสำคัญด้วยเหตุนี้จุดมุ่งหมายควรต้องมีความชัดเจนและสมาชิกทุกคนมีความเข้าใจอย่างดี เพราะจะนำไปสู่แนวทางแนวทางในการทำงานว่าต้องทำอย่างไร จึงจะบรรลุตามเป้าหมายของงาน ให้ได้ผลของงานออกมาได้อย่างดีที่สุด
การตัดสินใจสั่งการเป็นกระบวนการขั้นพื้นฐานของการบริหารงาน ผู้บริหารหรือผู้นำทีมเป็นบุคคลสำคัญในการที่จะมีส่วนในการตัดสินใจ วิธีการที่ผู้บริหารใช้ในการตัดสินใจหลายวิธีคือ ผู้บริหารตัดสินใจเพื่อแก้ปัญหา โดยไม่ต้องซักถามคนอื่นหรือผู้บริหารจะรับฟังความคิดเห็นก่อนตัดสินใจ กล่าวคือ ผู้บริหารยังคงตัดสินใจด้วยตนเองแต่ขึ้นอยู่กับความคิดเห็นและข้อมูลอื่นๆ ที่ผู้บริหารได้รับมาจากสมาชิกของทีม บางครั้งผู้บริหารอาจจะตัดสินใจร่วมกับทีมงานที่คัดเลือกมาโดยที่ผู้บริหารนำเอาปัญหามาให้ทีมงานอภิปราย แล้วให้ทีมงานตัดสินใจหรือทีมงาน อาจจะมอบหมายการตัดสินใจให้คนใดคนหนึ่งหรือกลุ่มย่อย
ที่เห็นว่าเหมาะสมก็ได้ ขั้นตอนในการตัดสินใจที่มีประสิทธิภาพ ประกอบด้วยขั้นตอนที่สำคัญ 4 ขั้นตอนคือ
 1. ทำความเข้าใจอย่างชัดเจนในเหตุผลสำหรับการตัดสินใจ
 2. วิเคราะห์ลักษณะของปัญหาที่จะตัดสินใจ
 3. ตรวจสอบทางเลือกต่างๆ ในการแก้ปัญหาโดยพิจารณาถึงผลที่อาจเกิดตามมาด้วย
 4. การนำเอาผลการตัดสินใจไปปฏิบัติ
 5. ภาวะผู้นำที่เหมาะสม ผู้นำ หรือ หัวหน้าทีมควรทำหน้าที่เป็นผู้ชี้แนะประเด็นที่สำคัญในการทำงานตามบทบาทของผู้นำ คือ การแบ่งงาน กระจายงานให้สมาชิกทุกกลุ่มตามความรู้ ความสามารถ สำหรับสมาชิกของทีมงานที่ได้รับการคัดเลือกให้เป็นผู้นำ ต้องพร้อมที่จะทำหน้าที่ให้เหมาะสมกับงานที่ได้รับมอบหมาย โดยการให้การสนับสนุนนำทีมให้ประสบความสำเร็จ ส่งเสริมให้มีบรรยากาศที่ดีในการทำงานเป็นทีม มีการพัฒนาบุคลากรและทีมงาน

6. การตรวจสอบทบทวนผลงานและวิธีในการทำงาน ทีมงานที่ดีไม่เพียงแต่ดูจากลักษณะของทีม และบทบาทที่มีอยู่ในองค์กรเท่านั้น แต่ต้องดูวิธีการ ที่ทำงานด้วยการทบทวนงานและทำให้ทีมงานได้เรียนรู้จากประสบการณ์ที่ทำรู้จักคิด การได้รับข้อมูลป้อนกลับเกี่ยวกับการปฏิบัติงานของแต่ละคนหรือของทีม

7. การพัฒนาตนเอง การทำงานเป็นทีมที่มีประสิทธิภาพพยายามที่จะรวบรวมทักษะต่างๆของแต่ละคน การพัฒนาบุคลากรในองค์การมักจะมองในเรื่องทักษะและความรุ้ที่แต่ละคนมีอยู่แล้ว ก็ทำการฝึกอบรมเพื่อปรับปรุงพัฒฯคนให้มีความสามารถสูงขึ้น อันจะมีผลดีในการทำงานให้ดีขึ้น ผู้บริหารหรือผู้นำต้องมีความรู้ในการบริหารคนสามารถสอนพัฒนาคนให้มีลักษณะที่ดีขึ้น



“สอนวิธีเล่นหุ้นให้รวย”


เมื่อวานผมได้รับการร้องขอจากเพื่อนนักธุรกิจท่านหนึ่ง แกถามผมว่าจะมีวิธีการอย่างไรในการเล่นหุ้นให้รวย ผมก็ขอสรุปให้ท่านลำดับการวิเคราะห์แบบนี้ตามความรู้งูๆปลาๆไปตามนี้ว่า 
ท่านควรเล่นหุ้นที่มีปัจจัยพื้นฐานดี คำว่าปัจจัยพื้นฐานดีหมายความว่า
1.1)  หุ้นนั้นมีอนาคต คือ ทำธุรกิจและมีรายได้มากกว่าค่าใช้จ่าย ได้ผลลัพธ์ออกมาเป็นกำไรสุทธิ
1.2)หุ้นที่มีกำไรสุทธิตามข้อ 1.1) จะจ่ายเงินปันผลได้ แต่ต้องระวังข้อ 1.3)
1.3)ต้องใส่ใจดูว่าหุ้นนั้นมีขาดทุนสะสมหรือไม่ ในกรณีมีขาดทุนสะสม และเกิดกำไรสุทธิในปีปัจจุบัน แต่กำไรยังไม่มากพอ หุ้นนั้นก็ยังคงขาดทุนสะสมอยู่ ไม่สามารถจะจ่ายเงินปันผลได้
1.4)ยกตัวอย่างข้อ 1.3) หุ้นนั้นมีขาดทุนสะสม 100 ล้านบาท มีกำไรสุทธิในปีนี้ 20 ล้านบาท หุ้นนี้ยังมีขาดทุนสะสมอีก 80 ล้านบาท แต่การดูแค่นี้ไม่ได้หมายความว่า หุ้นนี้จะไม่น่าลงทุน ท่านยังต้องดูข้อ 1.5) ต่อ
1.5)หุ้นนี้มีส่วนเกินมูลค่าหุ้นหรือไม่ ส่วนเกินมูลค่าหุ้น คือ ตอนที่หุ้นนี้ถูกขายให้ประชาชนในราคา 30 บาท/หุ้น ในขณะที่มูลค่าที่กำหนดอยู่ที่ 10 บาท/หุ้น เกิดส่วนเกินมูลค่าหุ้น หุ้นละ 20 บาท จำนวนส่วนเกินมูลค่าหุ้นทั้งหมดนี้ท่านสามารถดูได้จากงบดุลตรงส่วนทุน หากดูแล้วปรากฏว่าเป็นตัวเลข 150 ล้านบาท งานนี้หุ้นจะวิ่งขึ้นพอสมควรครับ เพราะมีความหมายว่าขาดทุนสะสมจะหมดไปได้ หากบริษัทนั้นลงมติโดยที่ประชุมผู้ถือหุ้นให้นำส่วนเกินมูลค่าหุ้น 150 ล้านบาทนั้นมาล้างขาดทุนสะสมจำนวน 80 ล้านบาท
1.6)บริษัทเลยมีกำไรสะสมทันที 70 ล้านบาท สามารถจ่ายเงินปันผลได้ (การล้างขาดทุนสะสม ด้วยส่วนล้ำมูลค่าหุ้นเป็นไปตาม พ...บริษัทมหาชน)
1.7)นอกจากมีกำไรและไม่มีขาดทุนสะสมแล้ว หุ้นนั้นยังเติบโตได้เรื่อยๆ พูดง่ายๆ ก็คือ บริษัทสามารถขยายกิจการและสร้างรายได้ได้ต่อไปมีกำไรโดยตลอด นี่แหละหุ้นที่มีปัจจัยพื้นฐานดี
2)ท่านควรเล่นหุ้นที่มีลักษณะของการทำธุรกิจแบบผูกขาด หรือเป็นผู้นำในตลาดดำเนินธุรกิจในตลาดแบบผูกขาด แบบผู้ขายน้อยราย แบบกึ่งแข่งขันกึ่งผูกขาด ไม่ใช่ดำเนินธุรกิจในตลาดแข่งขันสมบูรณ์ เพราะหุ้นแบบที่กล่าวไปจะมีกำไรสุทธิต่อยอดขายสูง มีปันผลในอัตราสูง หรือหากปัจจุบันยังไม่มีเงินปันผล แต่หากในอนาคตไม่มีใครจะเข้ามาแข่งขัน (ผูกขาด) ก็หมายความว่าหุ้นนี้จะราคาสูง ถึงแม้ว่าจะได้ปันผลต่ำ แต่ในระยะยาวจะได้กำไรจากส่วนต่างของราคาหุ้น และจะได้ปันผลสูงในอนาคต อย่าง PTT, PTTEP เป็นต้น
3)ถ้าเป็นผม ผมจะเล่นหุ้นที่เตรียมตัวจะทะยานขึ้น ผมมักจะเล่นหุ้นที่มีลักษณะตามข้อ 1) คืออาจจะขาดทุนแต่เริ่มกำไร จากกำไรแล้วเริ่มเติบโตอย่างมั่นคง หุ้นลักษณะแบบนี้จะราคาถูกในตอนต้น หากถือไว้จะได้กำไรจากส่วนต่างของราคาหุ้นเป็นอย่างมาก
4)นอกจากการเล็งหุ้นตามข้อ 3) ผมยังรู้ว่าหุ้นทุกตัวนั้นจะมีวงจรชีวิต ดังนั้นผมจะซื้อหุ้นตอนที่หุ้นฟื้นคืนชีพจากจุดต่ำสุด คือธุรกิจเริ่มฟื้นตัว มีกำไร แต่ยังขาดทุนสะสม หุ้นลักษณะนี้ราคาจะต่ำ เหมาะแก่การลงทุนในระยะกลาง ท่านจะได้กำไรมาก
5)เนื่องจากจำนวนหุ้นมีมากมายหลายร้อยตัว ผมจึงเฝ้าดูการซื้อขายของหุ้นแต่ละตัวในทุกวัน โดยดูจากข้อมูลในหนังสือพิมพ์ หรือจากแหล่งอื่นใด ผมจะดูให้รู้ว่า มีใครแอบไปเก็บหุ้นเอาไว้ในหน้าตักของตัวเองบ้าง เพราะก่อนการขึ้นของราคาหุ้นจะมีไอ้โม่งมาแอบเก็บของเสมอ
6) จากข้อ 5) เมื่อผมเริ่มเอะใจกับหุ้นตัวใด ผมจะเข้าไป Print งบการเงินและสารสนเทศของบริษัทนั้นๆ ใน www.sec.or.th เอามาอ่านให้หนำใจ เพื่อที่จะได้จินตนาการโอกาสทางธุรกิจของหุ้นตัวนั้นออกว่า มีอนาคตหรือไม่อย่างไร
7)ขั้นตอนข้อ 6) จะทำให้ผมเกิดความรู้สึกว่าหุ้นนี้น่าซื้อหรือไม่อย่างไร และยังนำมาพิจารณาเทียบเคียงกับเหตุการณ์ในข้อ 5) ทำให้ผมมั่นใจในการตัดสินใจมากขึ้นอีกมาก
8)ก่อนจะไปในขั้นตอนต่อไป ผมคงบอกกับท่านว่า พอผมเอะใจว่ามีคนเก็บหุ้นตัวนี้ ผมจะเริ่มดูว่าหุ้นนี้มีใครเป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่บ้าง รายย่อยถือจำนวนเท่าใด งานนี้ผมต้องรู้ให้ได้ว่ารายใหญ่จะเก็บของกันวันละเท่าไร และเก็บนานกี่วัน อย่างหุ้น 300 ล้านหุ้น หากมีรายย่อยถือ 30 ล้านหุ้น อาจมีปริมาณการซื้อขาย 2 ล้านหุ้น/วัน โดยที่ราคายังไม่เปลี่ยนแปลง ไอ้ปริมาณ 2.0 ล้านหุ้นที่ซื้อขายกันต่อวัน รายใหญ่อาจเก็บของ (หุ้น) ได้ประมาณซัก 30% ของ 2 ล้านหุ้น ท่านก็ลองคำนวณดูซิครับว่า จะต้องเก็บของกันกี่วัน ท่านเห็นว่ามีสัญญาณแบบนี้ ท่านก็กระโดดเข้าไปซื้อเลยครับ
9)การกระโดดเข้าไปซื้อเป็นเพราะ 1) มีสัญญาณการเก็บของชัดเลย + 2) หุ้นมีพื้นฐานดี + 3) หุ้นมีโอกาสกำไรสะสม + 4) หุ้นมีโอกาสปันผลสูง
10)หลังจากซื้อแล้ว รอเวลาให้หุ้นขึ้น แล้วขายในราคาที่ท่านพอใจ
11)ราคาหุ้นขึ้นเท่าไรจึงจะขายเป็นปัญหาของนักลงทุนทุกคน เพราะส่วนใหญ่มักจะขายเร็วไป หุ้นยังวิ่งขึ้นไปต่อ งานนี้ขอแนะนำให้ทดลองทวนกระแสนักวิเคราะห์หุ้นดู ถ้านักวิเคราะห์บอกว่าให้ขาย ลองไม่ขาย อาจจะรวยได้ แต่ถ้าขายก็อาจจะเจ็บใจนักวิเคราะห์ (สาเหตุเป็นเพราะ กราฟที่แสดงข้อมูลทางเทคนิค รายใหญ่สามารถสร้างได้ จะให้เป็นเส้นอะไร บอกสัญญาณอะไร เป็นเรื่องที่หมูเหลือเกิน)
ทั้งหมดที่ผมเขียนอธิบาย เป็นกรณีของหุ้นที่เข้าสู่การเปลี่ยนฐานราคาคือ จาก 4บาทเป็น 10 บาท จาก 20 บาทเป็น 26 บาท แบบนี้เป็นต้น
จำเอาไว้ว่า หุ้นขึ้นได้เพราะมีคนบงการ สำหรับวิธีการเล่นหุ้นก็คงขอเขียนอธิบายเอาไว้เท่านี้

วันเสาร์ที่ 19 มีนาคม พ.ศ. 2554

ช่องทางสร้างรายได้เดือนละกว่าแสนบาทที่คุณก็ทำได้

ช่องทางที่จะพาท่านสู่ความร่ำรวย
รายได้แสนกว่าบาทต่อเดือน
ผมทำได้แล้ว ท่านละอยากมีรายได้
อย่างที่ผมได้ไหม?
What's your Dream!   
ลองถามตัวเองว่า...
คุณต้องการชีวิตแบบไหน?
บ้านในฝันราคาเท่าไหร่ ?
รถยนต์คันหรูกี่คัน ?
พักผ่อนและท่องเที่ยวบ่อยแค่ไหน ?
มีเวลาอยู่กับครอบครัวมากแค่ไหน ?
 ถ้าเลือกได้จริงๆคุณอยากมีชีวิตแบบไหน?
อยากให้ครอบครัวมีความเป็นอยู่แบบไหน?



แบบนี้
หรือแบบนี้
โอกาสแห่งอิสระภาพมาถึงมือท่านแล้ว
อย่ามัวแต่สงสัย
เพราะคนที่เคยสงสัยในคำถามต่างๆ
สำเร็จมาแล้ว รายได้มากกว่าแสนบาทต่อเดือน
จากอาชีพวิศวกร พนักงานบริษัท ผู้รับเหมา
เจ้าของกิจการ
ปัจจุบันผู้บริหารระดับผู้จัดการโรงเรียนเอกชน
เคยไม่เชื่อและไม่ชอบในสิ่งเหล่านี้เลย
ปัจจุบันยังทำธุรกิจเครือข่ายร่วมกับงานประจำ
รายได้มากกว่าแสนบาทต่อเดือน
เพราะเลิกสงสัย
ทุกอย่างเป็นไม่ได้...แม้แต่
รถที่ดำน้ำได้..ก็มีแล้ว
วิ่งบนน้ำได้..ก็มีแล้ว
ถ้ามัวแต่มีข้อสงสัย ไม่ลงมือทำอะไรที่ดีกว่าเดิม
แล้วหวังว่าจะมีชีวิตที่ดีขึ้น หรือ ดีกว่าเดิม
"เป็นเรื่องที่โง่ที่สุด"
จากแม่บ้านที่สุดเชย กลายมาซุปเปอร์สตาร์ได้
ขึ้นอยู่ที่ความคิด
รายได้เดือนละมากกว่าแสนบาท...เป็นไปได้
ถ้าคุณคิดว่า...คุณทำได้ คุณก็จะได้มา
ถ้าคุณคิดว่า...เป็นไปไม่ได้
ฉันไม่มีเงิน ฉันไม่ฉลาด ฉันไม่เก่ง มันเป็นไปไม่ได้
"ทำให้ตาย"ก็ไม่สำเร็จ
รายได้เดือนละแสนกว่าบาทหรือเป็นล้าน
มีได้แค่ในฝันเท่านั้น
ถ้าคนอย่างผมทำได้  คุณก็ทำได้ 1,000,000%
สุดท้ายมีคำถามว่า


ช่องทางที่เงินไหลออกจากกระเป๋าคุณมีกี่ช่องทาง
แล้วช่องทางที่เงินไหลเข้ากระเป๋าละมีกี่ช่องทาง
ผมมี 4-5 ช่องทางที่เงินไหลเข้ากระเป๋า
ช่องทางละไม่น้อยกว่า 30,000 - 50,000 บาท
รวมแล้วรายได้มากกว่าแสนบาทต่อเดือน
YES I CAN ใช่ ผมทำได้

ใช่..คุณก็ทำได้ แต่ที่ไม่ได้ เพราะคุณไม่ยอมทำ
อย่าหมิ่นเงินน้อย
อย่ารอวาสนา   อย่าอายทำกิน
30% ลิขิตฟ้า
70% ต้องฝ่าฟัน
ต้องสู้   ต้องสู้   จึงจะชนะ
นักร้องเหมือนกัน แต่งเพลงเหมือนกัน
แต่อนาคตของครอบครัวแตกต่างกัน


คุณจะเป็นคนจนคนสุดท้ายของตระกูลหรือไม่
คนที่จะสำเร็จคนต่อไป คือ คุณ
ความจน ไม่ใช่ กรรมพันธุ์
แล้วพบกันที่ความสำเร็จ
ความสำเร็จและร่ำรวยจงเป็นของคุณ
ด้วยรัก
ธนกฤต  วิทยารัตน์
โทร 091-446-2942